sbsolarroof.com

SB Solar Energy Co.,Ltd.

ศูนย์ความรู้

แผงโซล่าเซลล์

แผงโซล่าเซลล์ (Solar panels) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลง energy จากรังสีแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยใช้เซลล์แสงอาทิตย์ (solar cells) ที่ประกอบด้วยวัสดุที่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าเมื่อถูกแสงและอากาศ ในองค์ประกอบเซลล์ต่างๆ กระทำต่อกัน แผงโซล่าเซลล์มักถูกติดตั้งบนหลังคาของอาคารหรือพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ภายในสำหรับบ้านหรืออาคารธุรกิจต่างๆ แผงโซล่าเซลล์มีหลายประเภทและขนาดต่างๆ ซึ่งสามารถปรับใช้ตามความต้องการของผู้ใช้และงบประมาณที่มีอยู่ การใช้แผงโซล่าเซลล์ช่วยลดการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานที่มีส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลงและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานไฟฟ้าในระยะยาวได้ด้วย แผงโซล่าเซลล์เป็นส่วนสำคัญของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (solar energy) เพื่อสร้างพลังงานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ประเภทของแผงโซล่าเซลล์ที่ใช้ในแอพพลิเคชันต่าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้ตามวัสดุที่ใช้ในโซล่าเซลล์ และลักษณะการทำงาน

นี่คือประเภทที่พบบ่อย

โซล่าเซลล์แบบโมโนแคริสตัลลายน์ (Monocrystalline Solar Cells)

  • โซล่าเซลล์แบบนี้ทำจากแผ่นซิลิโคนเชิงเดี่ยว (single crystal) หรือหลายส่วนผสม (multi-crystal) โดยมีโครงสร้างเครื่องหมายต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
  • มักมีความผิวด้านข้างสีดำและมักมีประสิทธิภาพสูง

โซล่าเซลล์แบบโพลีคริสตัลลายน์ (Polycrystalline Solar Cells)

  • โซล่าเซลล์แบบนี้ทำจากแผ่นซิลิโคนหลายๆ ชิ้นที่เป็นโครงสร้างผสมกัน
  • มักมีราคาที่เป็นกลางและประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดี

โซล่าเซลล์แบบไฮบริด (Hybrid Solar Cells)

  • โซล่าเซลล์แบบนี้ผสมระหว่างโซล่าเซลล์แสงอาทิตย์แบบแพนเซล (PV) และโซล่าเซลล์เทอร์มาโมจีอนิก (thermoelectric)
  • สามารถผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และเก็บความร้อนพร้อมกัน

โซล่าเซลล์แบบแฟลท (Thin-Film Solar Cells)

  • โซล่าเซลล์แบบนี้ทำจากวัสดุที่บางและเบามาก เช่น ซิลิคอน (silicon), แคดเมียม (cadmium telluride), และซีลิเกน (CIGS – copper indium gallium selenide)
  • มีความยืดหยุ่นและสามารถใช้ในแอพพลิเคชันที่มีพื้นที่จำกัด

โซล่าเซลล์แบบเชิงอินทิเกรต (Integrated Solar Cells)

  • โซล่าเซลล์แบบนี้ถูกผสมเข้ากับวัสดุอื่นๆ เช่น กระจกหรือกระเบื้องหลังคาเพื่อให้มีลักษณะที่เข้ากับสภาพแวดล้อมแอพพลิเคชันที่มีพื้นที่จำกัด

แต่ละประเภทของแผงโซล่าเซลล์มีข้อดีและข้อเสียของตนเอง การเลือกใช้ประเภทของแผงโซล่าเซลล์นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของโครงการและงบประมาณที่มีอยู่ การใช้งานแผงโซล่าเซลล์เป็นที่นิยมในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เพื่อลดการใช้พลังงานที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน.

มีหลายยี่ห้อแผงโซล่าเซลล์ที่มีชื่อเสียงและได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้ทั่วโลก เราไม่สามารถแสดงรายชื่อทั้งหมดได้เนื่องจากมีหลายยี่ห้อที่มีคุณภาพดี 

แต่นี่คือบางยี่ห้อที่มักเป็นที่นิยม:

1. SunPower: SunPower เป็นยี่ห้อแผงโซล่าเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูง มีความรุ่งเรืองในการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าสูง และมักให้ประกันระยะยาวสูง
2. LG: LG เป็นยี่ห้อที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมแผงโซล่าเซลล์ มีแผงโซล่าเซลล์คุณภาพสูงที่สร้างให้มีประสิทธิภาพที่ดีและคุณภาพสวยงาม
3. Tesla (SolarCity): Tesla ได้รับความรู้จากการซื้อกิจการ SolarCity และทำการผลิตแผงโซล่าเซลล์ที่รวมระบบจัดเก็บพลังงานจากระบบพลังงานแสงอาทิตย์
4. Canadian Solar: Canadian Solar เป็นผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์ที่มีขอบเขตและความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ และมักมีราคาที่เป็นกลาง
5. JinkoSolar: JinkoSolar เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
6. Trina Solar: Trina Solar มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพของแผงโซล่าเซลล์ของพวกเขา
7. Hanwha Q CELLS: มีความรู้และประสิทธิภาพของการผลิตแผงโซล่าเซลล์ที่ดี มีเสน่ห์ในการใช้ในโครงการขนาดใหญ่
8. First Solar: First Solar มีคุณสมบัติพิเศษในแผงโซล่าเซลล์แบบแฟลท (Thin-Film Solar Panels)
9. REC Group: แผงโซล่าเซลล์จาก REC Group มีความคงที่และคุณภาพที่ดี
10. Risen Energy: มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีการวิจัยและพัฒนาในการผลิตแผงโซล่าเซลล์
11. และแผงยี่ห้ออื่นๆอีกมากมายที่มีประสิทธิภาพสูง

ควรระวังในการเลือกแผงโซล่าเซลล์เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการ และควรพิจารณาคุณสมบัติทั้งการแปลงพลังงานและความทนทานในระยะยาวของผลิตภัณฑ์ที่คุณสนใจ

Solar Inverter

โซล่าอินเวอร์เตอร์ (Solar Inverter) เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (solar power system) ที่ใช้ในการแปลงพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นจากแผงโซล่าเซลล์เป็นไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้ในบ้านหรือธุรกิจของคุณ อินเวอร์เตอร์ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้าที่ผลิตจากแผงโซล่าเซลล์ที่เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เป็นไฟฟ้าที่เป็นไฟสลับ (AC) ที่มีความถี่และแรงดันที่เหมาะสมสำหรับใช้งานในบ้านหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าในธุรกิจทั่วไป

Solar Inverter

1. อินเวอร์เตอร์สตริงเจอร์ (String Inverter)
อินเวอร์เตอร์สตริงเจอร์เป็นประเภทที่มีขนาดใหญ่และทำงานโดยการเชื่อมต่อกับหลายๆ แผงโซล่าเซลล์ในสตริงเจอร์เดียวกัน
มักถูกติดตั้งในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ เช่น บนหลังคาโรงงานหรืออาคาร

2. อินเวอร์เตอร์มิโครอินเวอร์เตอร์ (Micro Inverter)
อินเวอร์เตอร์มิโครอินเวอร์เตอร์ติดตั้งบนแต่ละแผงโซล่าเซลล์ ทำให้แต่ละแผงโซล่าเซลล์ทำงานอิสระกัน
มักมีประสิทธิภาพสูงในสภาวะที่มีเงามากและช่วยลดความสูญเสียในประสิทธิภาพรวมของระบบ

3. อินเวอร์เตอร์ไฮบริด (Hybrid Inverter)
อินเวอร์เตอร์ไฮบริดไม่เพียงแต่แปลงไฟฟ้าและส่งไฟฟ้าไปยังระบบไฟฟ้าในบ้าน แต่ยังสามารถเก็บพลังงานไฟฟ้าในระบบกักเก็บพลังงาน (battery storage) และใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือในช่วงเวลาที่พิโรธ

4. อินเวอร์เตอร์แบบมายคริสตัลลายน์ (Multicrystalline Inverter)
อินเวอร์เตอร์แบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับแผงโซล่าเซลล์แบบโพลีคริสตัลลายน์ มักมีประสิทธิภาพสูง

5. อินเวอร์เตอร์แบบไฮบริด (Hybrid Inverter)
อินเวอร์เตอร์แบบไฮบริดรวมระบบอินเวอร์เตอร์และกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในรูปแบตเตอรี่ไว้ในตัวเดียว ทำให้สามารถใช้พลังงานได้ตลอดเวลา และใช้เพื่อสำรองไฟฟ้าในกรณีฉุกเฉิน

การเลือกโซล่าอินเวอร์เตอร์ขึ้นอยู่กับความต้องการของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของคุณ รายการตัวเลือกและสมรรถนะของแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน ควรพิจารณาประสิทธิภาพการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์

อินเวอร์เตอร์ (inverter) สำหรับโซล่าเซลล์ที่นิยมมีหลายยี่ห้อและรุ่นที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงตามความต้องการของผู้ใช้ ยี่ห้อและรุ่นที่นิยมอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลาและท้องตลาด ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะกับความต้องการของคุณ 

นี่คือบางยี่ห้ออินเวอร์เตอร์ที่นิยมในตลาด:

1. Fronius: อินเวอร์เตอร์จาก Fronius มีชื่อเสียงในการผลิตอินเวอร์เตอร์ที่มีความประสิทธิภาพสูงและคุณภาพดี รวมถึงการสนับสนุนลูกค้าที่ดี.
2. SolarEdge: อินเวอร์เตอร์ SolarEdge สามารถติดตามแผงโซล่าเซลล์แต่ละแผงได้อิสระโดยใช้การติดตามแบบออปติมัลและมีระบบควบคุมอินเวอร์เตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง.
3. Enphase: อินเวอร์เตอร์จาก Enphase มีคุณสมบัติมิโครอินเวอร์เตอร์และสามารถติดตามและควบคุมแผงโซล่าเซลล์แต่ละแผ่นอิสระกัน.
4. ABB: ABB เป็นบริษัทที่ผลิตอินเวอร์เตอร์ที่มีคุณภาพสูง รวมถึงอินเวอร์เตอร์ไฮบริดที่สามารถใช้งานร่วมกับระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าได้.
5. SMA Solar Technology: อินเวอร์เตอร์จาก SMA มีประสิทธิภาพสูงและคุณภาพที่มีชื่อเสียง และมีหลายรุ่นให้เลือกตามความต้องการ.
6. Huawei: Huawei เป็นบริษัทที่ทำอินเวอร์เตอร์สำหรับโซล่าเซลล์ที่มีเทคโนโลยีและประสิทธิภาพสูง.
7. GoodWe: GoodWe มีอินเวอร์เตอร์ที่มีความคุ้มค่าและคุณภาพที่ดี มักมีระบบควบคุมและการติดตามที่ใช้งานง่าย.
8. Delta Group: อินเวอร์เตอร์ Delta Group มีคุณสมบัติควบคุมแบบออปติมัลและมีประสิทธิภาพสูง.
9. Schneider Electric: Schneider Electric มีอินเวอร์เตอร์ที่ทันสมัยและคุณภาพสูงในการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์.
10. Growatt: Growatt เป็นยี่ห้ออินเวอร์เตอร์ที่มีราคาที่คุ้มค่าและประสิทธิภาพที่ดี.
11. และยื่ห้ออื่นๆอีกมากมาย ทั้งนี้ทุกยี่ห้อที่ใช้ในประเทศไทย ต้องได้รับการขึ้นทะเบียนกับการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้วเท่านั้น

ควรระวังในการเลือกอินเวอร์เตอร์ต้องคำนึงถึงความต้องการของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของคุณ แต่ละยี่ห้อและรุ่นอาจมีคุณสมบัติและฟังก์ชันเสริมที่แตกต่างกัน เช่น การติดตามแต่ละแผงโซล่าเซลล์ หรือความสามารถในการทำงานในสภาวะแสงน้อย ดังนั้นควรพิจารณาอินเวอร์เตอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและเงื่อนไขที่มีอยู่ในพื้นที่ของคุณ.

Solar Mounting

โซล่าเมาท์ติ้ง (Solar Mounting) เป็นโครงสร้างหรือระบบติดตั้งที่ใช้ในการยึดแผงโซล่าเซลล์และอุปกรณ์ส่วนประกอบของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมบนหลังคาหรือพื้นที่ต่างๆ โดยทั่วไปแล้วมีหลายรูปแบบและวัสดุที่ใช้ในการสร้างโซล่าเมาท์ติ้ง เพื่อให้แผงโซล่าเซลล์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

นี่คือบางข้อยอดนิยมในการติดตั้งโซล่าเมาท์ติ้ง

1. โซล่าเมาท์ติ้งบนหลังคาหลังคา (Roof Mount): ระบบนี้ใช้สำหรับการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาของบ้านหรืออาคาร มีหลายรูปแบบ
2. โซล่าเมาท์ติ้งบนพื้น (Ground Mount): ระบบนี้ใช้สำหรับการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนพื้นที่ดินหรือพื้นที่ว่างๆ มักใช้ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ โซล่าเมาท์ติ้งบนพื้นมักมีโครงสร้างที่มีความคงที่และสามารถปรับแต่งได้ตามการวางของแผงโซล่าเซลล์.
3. โซล่าเมาท์ติ้งบนที่ติดตั้งต่ำ (Low Profile Mount): ระบบนี้มักใช้สำหรับหลังคาที่มีขนาดจำกัด โดยติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ให้อยู่ใกล้กับหลังคา
4. โซล่าเมาท์ติ้งบนลานหรือโรงรถ (Carport Mount): ระบบนี้ใช้สำหรับการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนโรงรถหรือลานจอดรถ เพื่อสร้างเพดานที่ร่มเงาและผลิตพลังงานไฟฟ้า.
5. โซล่าเมาท์ติ้งในน้ำ (Floating Solar Mount): ระบบนี้ใช้สำหรับการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนผิวน้ำ มักใช้ในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่น้ำในฟาร์มน้ำหรืออื่นๆ.
6. โซล่าเมาท์ติ้งในโรงเรือน (Canopy Mount): ระบบนี้ใช้สำหรับการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ในโรงเรือนหรือโรงงานเพื่อสร้างร่มเงาและผลิตพลังงานไฟฟ้า.

การเลือก Solar Mounting ในการติดตั้งโซล่าขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่และโครงสร้าง ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งเพื่อเลือกและออกแบบระบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแผงโซล่าเซลล์ของคุณ.

Combiner Box

ตู้ Combiner Box เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเชื่อมต่อระบบควบคุมและการรับส่งกระแสไฟฟ้าระหว่างแผงโซล่าเซลล์และอินเวอร์เตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ตู้ Combiner Box มักถูกติดตั้งในที่ที่มีแผงโซล่าเซลล์จำนวนมาก เพื่อรวมสายไฟจากแผงโซล่าเซลล์ต่างๆ เข้ามาเป็นสายไฟเดียวก่อนนำไปยังอินเวอร์เตอร์หรืออุปกรณ์ต่อไป

คุณสมบัติหลักของตู้ Combiner Box ประกอบด้วย

1. String Combiner การรวมสายไฟ: ตู้ Combiner Box มีฟังก์ชันในการรวมสายไฟจากแผงโซล่าเซลล์ต่างๆ ที่เรียกว่าสตริง String ทั้งนี้จำนวนสตริง ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ที่ติดตั้ง
2. Protection การป้องกัน: ตู้ Combiner Box มักมีอุปกรณ์ป้องกันอันช่วยป้องกันไฟเกิน จากระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และช่วยลดความเสี่ยงจากฟ้าผ่า.
3. Power Sensor การวัดและตรวจสอบ: บางรุ่นของตู้ Combiner Box มีเซนเซอร์วัดและการตรวจสอบสถานะของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น การวัดกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า ที่เรียกว่า Power Meter
4. Standard มีมาตรฐาน: ตู้ Combiner Box ต้องมีมาตรฐานและเป็นไปตามระเบียบของหน่วยงานควบคุมและการรับรองของการไฟฟ้าในพื้นที่ที่ติดตั้ง.

การเลือกตู้ Combiner Box ที่เหมาะสมสำหรับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของคุณควรคำนึงถึงจำนวนแผงโซล่าเซลล์ที่คุณมีและความต้องการของระบบ รวมถึงความต้องการในการป้องกันและการวัดสถานะของระบบ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเลือกตู้ Combiner Box ที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับโครงการของคุณ.

ระบบไฟฟ้า Single Phase/Three Phase

ระบบไฟ Single Phase (เชื่อมต่อเดียว) เป็นระบบไฟฟ้าที่มีเฟสเดียวเท่านั้น หรือจะเรียกอีกชื่อว่าระบบไฟฟ้าเดี่ยวเฟส (Single-Phase Electrical System) ระบบนี้ใช้สำหรับการให้พลังงานไฟฟ้าในบ้านหรือระบบไฟฟ้าขนาดเล็ก มีสายไฟสองเส้นที่ใช้ในการส่งไฟฟ้า คือสายไฟ (Phase) และสาย Neutral โดยระบบนี้มักมีแรงดันไฟฟ้าเฟสเดียว 230 V โดยทั่วไป และใช้สำหรับการจ่ายไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ในบ้าน เช่น เครื่องปรับอากาศ, แอร์, เครื่องซักผ้า, และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทั่วไป

ระบบไฟ Single Phase สามารถใช้ในการให้พลังงานไฟฟ้าในบ้านได้ โดยรวมถึงการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป.

อย่างไรก็ดี ระบบไฟ Single Phase มีความจำกัดในการรองรับโหลดที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากๆ หากคุณมีความต้องการในการให้พลังงานไฟฟ้ามากกว่านี้ เช่น ในโรงงานหรืออาคารขนาดใหญ่ คุณอาจจำเป็นต้องใช้ระบบไฟฟ้า Three Phase ที่มีเฟสมากกว่าหนึ่งเฟสเพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นได้.

ระบบ Three Phase (เรียกอีกชื่อว่า ระบบไฟสามเฟส หรือ 3-Phase Electrical System) เป็นระบบไฟฟ้าที่มีเฟสไฟฟ้าสามเฟสเท่านั้น โดยแต่ละเฟสมีความห่างกันทางเวลา 120 องศา (120°) ระหว่างการผลิตไฟฟ้า ระบบนี้มักใช้ในโครงการหรืออาคารขนาดใหญ่ เช่น โรงงาน, อาคารพาณิชย์, ห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล, สถานีบริการ, และอื่น ๆ ที่มีความต้องการในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าที่มากกว่าระบบ Single Phase สามารถรองรับได้

คุณสมบัติของระบบ Three Phase 

1. การกระจายกระแสไฟฟ้า: ระบบ Three Phase มีเฟสสามเฟสที่มีแรงดันไฟฟ้าต่างกัน โดยมีแรงดันไฟฟ้าสูงกว่าระบบ Single Phase ซึ่งช่วยให้กระแสไฟฟ้ากระจายได้มากขึ้น และเหมาะสำหรับการใช้งานโหลดที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก ๆ เช่น เครื่องจักรหนัก, มอเตอร์, โรงงาน, และอาคารขนาดใหญ่.
2. ความมั่นคง: ระบบ Three Phase มักมีความมั่นคงและนิ่งมากขึ้นในการให้พลังงานไฟฟ้า โดยมีการบรรจุกระแสไฟฟ้าในรูปแบบของคลื่น sinusoidal ที่มีความคงที่.
3. การลดขนาดของสายไฟ: ระบบ Three Phase มักทำให้สามารถลดขนาดของสายไฟฟ้าได้ ถ้าเปรียบเทียบกับระบบ Single Phase ที่มีการส่งพลังงานไฟฟ้าในสายไฟที่มีกระแสสูงมาก ๆ.
4. การใช้งานในระบบขนาดใหญ่: ระบบ Three Phase มักถูกใช้ในโครงการขนาดใหญ่เช่น โรงงานผลิต, อาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่, และอื่น ๆ ที่มีความต้องการในการใช้พลังงานไฟฟ้ามาก.
5. ความสมดุลและสมดุลในการทำงาน: ระบบ Three Phase มักมีความสมดุลในการทำงาน และสามารถรองรับโหลดที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบไม่สมดุล (Unbalanced Load) ได้.
6. การรองรับโหลดหลายประเภท: ระบบ Three Phase สามารถรองรับโหลดหลายประเภทที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่างกัน อย่างไรก็ดี ควรมีการออกแบบและการติดตั้งที่ถูกต้องเพื่อให้ระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย.

การบาลานซ์เฟส (Balancing Phase) เป็นกระบวนการที่สำคัญในระบบไฟสามเฟส (Three Phase) เพื่อให้แต่ละเฟสมีแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมากที่สุด การบาลานซ์เฟสเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้ระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดปัญหาเช่นความร้อนเกิดขึ้นในสายไฟและอุปกรณ์อื่น ๆ ในระบบ การบาลานซ์เฟสที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดค่าไฟฟ้าสูงและความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้น โดยอาจจะทำให้การใช้งานไม่มีประสิทธิภาพและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น.

นี่คือขั้นตอนทั่วไปในการบาลานซ์เฟสในระบบไฟสามเฟส

1. ตรวจสอบแรงดันเฟส: ให้ตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าของแต่ละเฟส โดยใช้เครื่องมือวัดหรืออุปกรณ์ตรวจสอบแรงดันไฟฟ้า เพื่อตรวจสอบว่าแรงดันในแต่ละเฟสมีค่าเท่ากันหรือไม่.
2. ปรับเฟส: หากพบว่าแรงดันเฟสไม่สมดุล ให้ปรับแรงดันไฟฟ้าในแต่ละเฟสโดยใช้ตัวควบคุมหรืออุปกรณ์ปรับแรงดัน เพื่อให้มีค่าเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมากที่สุด.
3. ตรวจสอบกระแสไฟฟ้า: หลังจากบาลานซ์เฟส ให้ตรวจสอบกระแสไฟฟ้าในแต่ละเฟสว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าค่าไม่สมดุล ให้ปรับแต่งกระแสไฟฟ้าในแต่ละเฟสเพื่อให้มีค่าเท่ากัน.
4. ตรวจสอบการใช้งาน: หลังจากทำการบาลานซ์เฟสแล้ว ให้ตรวจสอบการใช้งานอุปกรณ์และเครื่องจักรต่าง ๆ ในระบบเพื่อตรวจสอบว่าทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย.

การบาลานซ์เฟสเป็นกระบวนการที่สำคัญในระบบไฟสามเฟสเพื่อให้ระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเสียหายในระบบไฟฟ้า และมักต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญในการทำงานด้านไฟฟ้าเพื่อปฏิบัติการบาลานซ์เฟสอย่างถูกต้องและปลอดภัย

การเลือกใช้ไฟฟ้าแบบทั่วไปและแบบ TOU

ค่าไฟแพงขึ้นอยู่กับอะไร เป็นสิ่งที่คนไทยควรรู้ เพราะเราต่างต้องใช้ไฟฟ้าในที่อยู่อาศัย รวมถึงการเปิดกิจการร้านค้าที่ต้องจ่ายค่าไฟที่มีค่าอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เรื่องค่าไฟควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรเข้าใจกันตั้งแต่เด็กๆ เพื่อการใช้ไฟฟ้าที่คุ้มค่า บทความนี้ไทยรัฐออนไลน์มีคำอธิบายเกี่ยวกับส่วนประกอบของค่าไฟในบิลที่เราจ่ายทุกๆ เดือน

การเลือกใช้ไฟฟ้าแบบทั่วไปและแบบ TOU

โดยหลักๆ มีอยู่ 3 ส่วน คือ ค่าไฟฟ้าฐาน, ค่า FT และภาษีมูลค่าเพิ่ม

1. ค่าไฟฟ้าฐาน
ผู้ใช้ไฟฟ้าเมื่อไปขอมิเตอร์จะต้องแจ้งการติดตั้งมิเตอร์ตามการใช้งาน 

โดยแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

– บ้านอยู่อาศัย
– กิจการขนาดเล็ก
– กิจการขนาดใหญ่
– กิจการเฉพาะอย่าง
– สูบน้ำเพื่อการเกษตร
– ผู้ใช้ไฟฟ้าชั่วคราว

ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น คือ ค่าพลังงานไฟฟ้า, ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า, ค่าบริการต่อเดือน และค่า PF ผู้ขอมิเตอร์ทุกประเภทต้องจ่าย ค่าพลังงานไฟฟ้า และค่าบริการต่อเดือน ส่วนกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ และกิจการเฉพาะอย่าง จะต้องจ่ายค่าความต้องการพลังไฟฟ้า และค่า PF

2. ค่า FT
ค่า FT คือ ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง หรือค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. และค่าใช้จ่ายตามนโยบายรัฐ มีการปรับปรุงทุกๆ 4 เดือน

3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%)
นอกจากการซื้อสินค้าตามห้างร้านที่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ค่าไฟก็เป็นอีกรายจ่ายที่ต้องเสีย VAT 7% ค่าไฟหน่วยละกี่บาท

ยกตัวอย่างอัตราค่าไฟฟ้า “ประเภทที่อยู่อาศัย” ที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 เป็นต้นมา ดังนี้

อัตราปกติปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน (ค่าบริการ 8.19 บาท)

– 15 หน่วย (กิโลวัตต์ชั่วโมง) แรก (หน่วยที่ 1-15) หน่วยละ 2.3488 บาท
– 10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 16-25) หน่วยละ 2.9882 บาท
– 10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 26-35) หน่วยละ 3.2405 บาท
– 65 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 36-100) หน่วยละ 3.6237 บาท
– 50 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 101-150) หน่วยละ 3.7171 บาท
– 250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 4.2218 บาท
– เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป) หน่วยละ 4.4217 บาท

อัตราปกติปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน (ค่าบริการ 38.22 บาท)

– 150 หน่วย (กิโลวัตต์ชั่วโมง) แรก (หน่วยที่ 1-150) หน่วยละ 3.2484 บาท
– 250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 4.2218 บาท
– เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป) หน่วยละ 4.4217 บาท

อยู่ๆ ค่าไฟก็แพงขึ้น ถ้าใช้ไฟจำนวนหน่วยเท่าเดิม ก็แสดงว่าอาจมาจากการปรับเรียกเก็บค่า FT และค่าบริการอื่นๆ แต่หากแพงเกินกว่าเดือนก่อนอย่างมาก 

ควรสังเกต 2 อย่างต่อไปนี้

1. พฤติกรรมการใช้ไฟ
หากค่าไฟแพงขึ้น และมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า เช่น ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ทำให้ต้องจ่ายค่าไฟมากขึ้น หรือเปิดเครื่องปรับอากาศเพราะอากาศร้อน ก็ต้องปรับพฤติกรรม กำหนดชั่วโมงการเปิดปิดเพื่อประหยัดค่าไฟ

2. เครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด ไฟรั่ว
ลองสังเกตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูงอย่าง หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า แอร์ เตารีด และอื่นๆ ที่เราใช้เป็นประจำ ว่าเกิดการชำรุด ไฟรั่วบ้างหรือไม่ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างทำให้เกิดค่าไฟสูงเกินความจำเป็น เช่น ตู้เย็นเก่า ไดร์เป่าผมอันเก่า เมื่อคำนวณจำนวนวัตต์การใช้งานต่อวัน บวกกับค่าไฟแล้ว ซื้อใหม่จะคุ้มกว่า เรื่องค่าไฟจึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรรู้กันตั้งแต่เด็กๆ วันหนึ่งเมื่อเป็นเจ้าบ้านต้องติดตั้งมิเตอร์จะได้รู้ทันค่าไฟแพง

ระบบ Time-of-Use (TOU)

ประหยัดค่าไฟฟ้าในช่วงราคาต่ำ: ระบบ TOU มีการกำหนดราคาไฟฟ้าตามช่วงเวลา ซึ่งในบางช่วงราคาจะต่ำกว่า แสดงว่าถ้าคุณใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ราคาต่ำ คุณจะประหยัดค่าไฟฟ้าได้มาก

กระตุ้นการใช้พลังงานในช่วงราคาต่ำ: การมีราคาไฟฟ้าที่สูงในช่วงเวลาราคาสูงส่งผลให้ผู้คนมีแนวโน้มในการใช้งานไฟฟ้าในช่วงเวลาราคาต่ำ เช่น การใช้เครื่องซักผ้าหรืออุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าใหญ่ในช่วงเวลาที่ราคาถูกกว่า.
ค่าไฟฟ้าสูงในช่วงราคาสูง: หากคุณใช้ไฟฟ้ามากในช่วงเวลาที่ราคาสูง ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น และนี้อาจส่งผลให้คุณมีค่าไฟฟ้าสูงขึ้น

การเลือกใช้ระบบไฟฟ้าแบบทั่วไปหรือ TOU ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานของคุณและความสามารถในการปรับตัวตามราคาไฟฟ้าที่แตกต่างกันในช่วงเวลาต่าง ๆ หากคุณสามารถวางแผนการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ราคาถูกและลดการใช้งานในช่วงเวลาที่ราคาสูงได้ ระบบ TOU อาจจะช่วยคุณประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น แต่หากคุณไม่สามารถที่จะปรับตัวตามราคาไฟฟ้าแต่ละช่วงเวลา ระบบ Flat Rate อาจจะเป็นตัวเลือกที่สะดวกและง่ายต่อคุณมากกว่า

อัตราค่าไฟฟ้า TOU หรือ อัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff : TOU Tariff)
เป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่สะท้อนถึงต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือ

Peak: เวลา 09.00 น. – 22.00 น. วันจันทร์ – ศุกร์ และวันพืชมงคล
Off-Peak: เวลา 22.00 น. – 09.00 น. วันจันทร์ – ศุกร์ และวันพืชมงคล
เวลา 00.00 น. – 24.00 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ วันแรงงานแห่งชาติ วันพืชมงคล ที่ตรงกับวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดราชการตามปกติ (ไม่รวมวันหยุดชดเชย)

* Peak คือ ช่วงที่ค่าไฟฟ้ามีราคาสูง เนื่องจากประเทศมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง การไฟฟ้าต้องจัดหาเชื้อเพลิงทุกชนิด ทั้งราคาสูงและราคาต่ำในการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในช่วงนี้

* ช่วง Off-Peak คือ ช่วงที่ค่าไฟฟ้ามีราคาต่ำ เนื่องจากประเทศมีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ โรงไฟฟ้าสามารถเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีราคาต่ำกว่ามาผลิตไฟฟ้าได้ จึงทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าในช่วง Off-Peak ต่ำกว่าช่วง Peak

ใครเป็นผู้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้า TOU
ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รวมถึงอัตราค่าไฟฟ้า TOU คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นผู้กำกับดูแลภายใต้นโยบายและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้แล้ว

อัตราค่าไฟฟ้า TOU เหมาะสมกับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทใด

อัตราค่าไฟฟ้า TOU เหมาะสมกับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย กิจการหรือธุรกิจ และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้ามากในช่วง Off-Peak หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมตามช่วงเวลาที่ได้รับประโยชน์ได้ เช่น ลดการใช้ไฟฟ้า หรือ หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์เครื่องจักรที่ใช้ไฟฟ้ามากในช่วง Peak เป็นต้น

อัตราค่าไฟฟ้า TOU เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ยกเว้น ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ และกิจการเฉพาะอย่าง ที่เริ่มใช้ไฟฟ้าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 รวมทั้งประเภทไฟฟ้าชั่วคราว หากผู้ใช้ไฟฟ้ารายใดประสงค์จะขอใช้อัตราค่าไฟฟ้า TOU ต้องยื่นคำร้องที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และชำระค่าใช้จ่ายตามที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกำหนด

ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทุกแห่งหรือ 1129 PEA Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง

deneme bonusu veren sitelerdeneme bonusubonus veren sitelerdeneme bonus siteleriporn